ประเทศไทยมีประชากร 67 ล้านคน ในปี 2556 ทุกคนมีปัญหาโรคเหงือก และฟันตั้งแต่เด็ก และผู้ใหญ่ ปัจจุบันมีผู้ใช้น้ำยาบ้วนปากยอดขายอยู่เกิน 1,500 ล้านบาทต่อปี  ผลิตขึ้นเมื่อปี 1895 สูตรต่างๆ ก็จะ ผสมฟลูออไรค์ + แอลกอฮอล + สี + กลิ่น + ผงฟอง (SLS) + น้ำมันหอมระเหย + น้ำตาล + น้ำเปล่า หรือสารสกัดสมุนไพร มาเป็นเวลา 120 ปี แล้ว เปลี่ยน แค่กลิ่น, สี เท่านั้นเอง รายใหญ่ ปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาด 75% ของมูลค่าทั้งหมด ตัวผมเองเป็นโรคภูมิแพ้ไซนัส ต้องกินยาที่มีส่วนผสม สเตียรอยด์ อยู่หลายปี ก็ไม่หาย ประจวบเหมาะว่าเรียนวิชาสมุนไพร และเภสัชแพทย์แผนไทย จึงได้คิดค้นยาแก้อักเสบรักษาโรคไซนัส จากพืชสมุนไพรด้วยตัวเองอยู่หลายปี กลับได้พบว่าพืชสมุนไพรบ้านเรามีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ แบคทีเรียอยู่หลายชนิด พืชแต่ละชนิดมีรสชาติแตกต่างกันออกไป และสามารถระงับกลิ่นปากได้เป็นอย่างดี การค้นคว้าได้ดำเนินต่อไปอีกขั้นจากยาแก้ไซนัส มาเป็นน้ำยาบ้วนปากสมุนไพรแทน ซึ่งได้ทดลอง โดยการชิมพืชสมุนไพรทุกตัวว่ารสชาติเป็นอย่างไร และมีคุณสมบัติเป็นอย่างไร เพื่อที่จะได้นำพืชสมุนไพรมาปรุงรส ให้ได้รสชาติที่ดีที่สุด โดยไม่ต้องพึ่งพา สารเคมี และได้ทดลองกับตัวเองมาโดยตลอด เพราะฟันผมเองทำการครอบฟันแบบสะพานฟัน หรือ Dental Bridge ทั้งปากแบบถอดออกไม่ได้ ทำให้ต้องใช้ ไหมขัดฟัน Dental Floss และต้องซื้อเครื่องพ่นน้ำสำหรับฟัน Dental Water Jet มาใช้ตลอด ก็ยังมีกลิ่นปากเหม็นอยู่ตลอดเวลา เมื่อไปพูดคุยกับลูกค้าก็รู้สึกไม่มั่นใจเลย จึงเห็นช่องทางการตลาด และโอกาสในการผลิต น้ำยาบ้วนปากสมุนไพรไม้ไผ่ที่ไม่เหมื่อนใคร ฉีกกฎเดิมๆ คือ ไม่ใส่สารเคมี, ไม่ใส่ผงฟอง (N70 หรือ SLS) ,  ไม่ใส่น้ำหอม, ไม่ใส่สี, ไม่ใส่ ฟลูออไรค์ “FLUORIDE FREE” , ไม่ใส่สารทำให้ลื่น PEG 40, PEG 60 และไม่ใส่สารเชื่อมน้ำกับน้ำมัน อย่างเด็ดขาด

         จึงได้น้ำยาบ้วนปากที่เป็นสมุนไพรล้วนๆ สารกันเสียใช้เป็น Food Grade ซึ่งรับประทานได้ ไม่แสบปาก รสชาติอร่อยเหมือนน้ำจับเลี้ยง หรือน้ำเฉาก๋วย และแก้ปัญหาโรคเหงือก และปวดฟัน อย่างได้ผล 100% (เป็นรายแรกของโลก)